ประวัติคณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประทศไทย

                นับจากราชวงศ์ฮั่นเป็นต้นมา  ชนชาติไทยและจีน ได้มีการติดต่อสัมพันธ์ทางการค้าจนถึง พุทธศตวรรษที่ ๑๘ อาณาจักรสุโขทัยได้ก่อตั้งขึ้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศก็เพิ่มพูนยิ่งขึ้น ชาวจีนจากมณฑลกวางตุ้ง และฮกเกี้ยน ได้ทยอยเข้ามาทำมาหากินในประเทศไทย แม้กระทั่งกษัตริย์แห่งสุโขทัยได้ไปนำเทคนิคการทำ กระเบื้องเคลือบ ( สังคโลก ) มาสู่ประเทศไทย

                ถึงสมัยอยุธยา  ชาวจีนในไทยมีมากขึ้น จนเป็นย่านชาวจีนขึ้น และมีชาวจีนเข้ารับราชการในราชสำนักไทย จนอยุธยาเสียแก่ข้าศึก พระยากำแพงเพชร ( ตากสิน ) ผู้มีบิดาเป็นชาวจีนได้นำทหารไทย – จีน ฝ่าวงล้อมข้าศึกและกอบกู้เอกราชไทยได้สำเร็จ โดยตั้งราชธานีที่กรุงธนบุรี

                ในระหว่างสมัยทั้งสามที่ผ่านมา ชาวจีนส่วนใหญ่ นับถือศาสนาพุทธลัทธิขงจื้อ และลัทธิเต๋า ปะปนกัน คงมีเพียงศาลเจ้าแบบจีน ยังไม่มีการสร้างวัดขึ้นชาวจีนคงอาศัยทำบุญ ในวัดไทยนั่นเอง

                สมัยกรุงธนบุรี ประเทศเวียดนามเกิดกบฏ ชาวเวียดนามอพยพเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ชาวจีนและชาวเวียดนาม ( ชาวญวน ) ในสมัยนั้นได้ร่วมกันสร้างวัดในพระสงฆ์อนัมนิกายจำพรรษขึ้นหลายแห่ง

                สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ได้สถาปนาเมื่อปี ๒๓๒๕ ในรัชกาลที่ ๑  ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเดิมเป็นที่อยู่อาศัยของพระยาราชาเศรษฐี และพวกชาวจีน โดยโปรดเกล้า ฯ ให้ย้ายชาวพวกจีนไปอยู่ที่บริเวณ วัดสัมพันธวงศ์ ( ปัจจุบันนี้เรียกว่า “สำเพ็ง” )

                สมัยรัชกาลที่ ๓ ทั้งประเทศไทยและประเทศจีน มีการติดต่อกันทางด้านศิลปกรรมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ทรงโปรดสร้างพระอาราม และยังโปรดศิลปพระราชนิยมแบบจีน

                จวบจนสมัยรัชกาลที่ ๕ พระอาจารย์สกเห็ง  ได้จารึกมาสู่ประเทศไทย และพำนักจำพรรษา ที่ศาลร้างพระกวนอิม ถนนเยาวราช  สาธุชนชาวจีนเห็นความเคร่งครัดในศีลาจารวัตร อันงดงาม ทำให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา  จึงช่วยกันบูรณะปฏิสังขรณ์ให้เป็นอารามฝ่ายจีนนิกายขึ้นเป็นแห่งแรก คือ วัดบำเพ็ญจีนพรต นอกจากนี้ยังมีพระภิกษุไฮซัน  เป็นชาวมณฑลหูหนาน  จาริกมาพำนัก ในอารามร้าง ตำบลบ้างหม้อ     ต่อมาได้บูรณะเป็นวัดทิพยวารีวิหาร ( กำโลวยี่ )

                เมื่อครั้นพระสงฆ์ฝ่ายจีนนิกายมีจำนวนมากขึ้น  พระอาจารย์สกเห็ง ได้เห็นควรที่จะขยายอารามให้พอเหมาะแก่จำนวนพระสงฆ์ที่เพิ่มมากขึ้น จึงได้สร้างวัดมังกรกมลาวาส ( เล่งเน่ยยี่ ) ขึ้น   ปรากฎว่าในสมัยนั้นเป็นอารามฝ่ายจีนนิกายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการบริหาร  การปกครองของคณะสงฆ์จีนนิกาย

                ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕  ทรงโปรดเกล้าให้สถาปนา  พระอาจารย์สกเห็ง เป็นพระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร    เจ้าคณะใหญ่จีนนิกายดูแลปกครองพระสงฆ์จีนนิกายในประเทศไทย  ทั้งตำแหน่งปลัดซ้าย   ปลัดขวา   เพื่อช่วยในการบริหารปกครอง   และมีพัดยศพร้อมสมณบริขาร  ประกอบด้วยสมณศักดิ์

               

 

 

 

 

 

 

 

 

ลำดับเจ้าคณะใหญ่  ฝ่ายจีนนิกายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีดังนี้

รูปที่      พระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร  ( สกเห็ง )

                เจ้าคณะใหญ่จีนนิกายรูปแรก

ปฐมบูรพาจารย์วัดบำเพ็ญจีนพรต ( ย่งฮกยี่ ) 

ปฐมบูรพาจารย์วัดมังกรกมลวาส  ( เล่งเน่ยยี่ ) 

ปฐมบูรพาจารย์วัดจีนประชาสโมสร  ( เล่งฮกยี่ )  จังหวัดฉะเชิงเทรา 

มีศิษย์รูปสำคัญคือ  พระอาจารย์กวยหงอ  ,  พระอาจารย์กวยล้ง

รูปที่     พระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร  ( กวยหงอ )

เจ้าคณะใหญ่จีนนิกายรูปที่ 

                เจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส  รูปที่ 

รูปที่     พระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร  ( โล่งเขง )

เจ้าคณะใหญ่จีนนิกายรูปที่ 

                เจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส  รูปที่ ๓  ต่อมาท่านได้ลาออก และได้เดินทางกลับประเทศจีน

                พระภิกษุฟุกยิ้น  รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดมังกรกมลวาส

ในยุคนี้เองได้มีพระอาจารย์ตั๊กฮี้ ได้สร้างวัดเทพพุทธาราม  ( เซียนฮุกยี่ ) จังหวัดชลบุรี  ได้มีการ          บรรพชาศิษย์จำนวนมาก   เช่น  พระอาจารย์เซี่ยงหงี  ,  พระอาจารย์เซี่ยงกี  ,  พระอาจารย์เซี่ยงซิว

รูปที่    พระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร  ( ย่งปิง )

เจ้าคณะใหญ่จีนนิกายรูปที่ 

                เจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส  รูปที่ ๔ 

รูปที่    พระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร  ( เซี่ยงหงี )

เจ้าคณะใหญ่จีนนิกายรูปที่ ๕

                เจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส  รูปที่ ๕

ในยุคนี้เองได้มี พระอาจารย์เซี่ยงกี่  เป็นศิษย์ผู้พี่ที่ได้จาริกไปสร้างวัดเชงจุ้ยยี่ ( ถ้ำประทุน )  ,            เชงฮงยี่                  เขาพระพุทธบาท  จังหวัดสระบุรี  ,  สำนักสงฆ์มี่กัง  กรุงเทพ ฯ 

พระอาจารย์เซี่ยงกี  ท่านได้บรรพชากุลบุตร  สืบสายคณะสงฆ์จีนนิกายที่สำคัญ คือ พระอาจารย์ซุ่นเคี้ยง  ,  พระอาจารย์อิ้วเคียม  ( ล่งง้วน )

รูปที่      พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร  พุทธบริษัทจีนพิเนตุ วิเทศธรรมประสาท นวกิจพิลาสประยุกต์  ทำนุกจีนประชาวิสิฐ  ( มหาเถระโพธิ์แจ้ง ) 

                เจ้าคณะใหญ่จีนนิกายรูปที่ 

                สำนักสงฆ์หลับฟ้า   จังหวัดกรุงเทพ ฯ

เจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส  รูปที่ 

                ปฐมเจ้าอาวาสวัดโพธิ์เย็น  จังหวัดกาญจนบุรี

ปฐมเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทัตตาราม  จังหวัดชลบุรี

ปฐมเจ้าอาวาสวัดโพธิ์แมนคุณาราม  จังหวัดกรุงเทพ ฯ

                ประธานคณะกรรมการสงฆ์จีนนิกายรูปแรก

                บรรพชาในสำนัก  พระอาจารย์อิ้วเคียม    วัดเชงจุ้ยยี่  ท่านเป็นผู้พัฒนาคณะสงฆ์จีนนิกาย  สู่ยุคใหม่                  

รวมทั้งวางรากฐานอุปสมบทกรรม  บูรณปฏิสังขรณ์  พระอารามจีนนิกาย  และท่านได้วางรากฐานความมั่นคงของคณะสงฆ์จีนนิกายจนเป็นปึกแผ่น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ความเป็นมาในการสร้างสำนักสงฆ์หลับฟ้า

ท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้งมหาเถระ   ได้สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ แด่พระอาจารย์ฮ่งเล้ง ( เล่งเตี่ย ) ศิษย์ผู้พี่ซึ่งได้

มรณภาพลงขณะเดินทางจาริกไปประเทศจีน เมื่อปี ๒๕๗๔  ( ซิงบี่ ) พระอาจารย์ฮ่งเล้ง ได้จาริกไปประเทศจีนเพื่อสักการะปูชนียสถาน  จนถึงฤดูร้อนปี  ๒๕๗๗ ( กะสุก ) ท่านได้เดินทางไปถึงอำเภอเตี้ยเอี้ย  มณฑลกวางตุ้ง  จนเมื่อวันขึ้น  ๑๒  ค่ำ  เดือน  ๖ ( ทางจันทรคติจีน ) เวลาเช้า พระอาจารย์ฮ่งเล้ง ได้ยืนสังวัธยายพระสูตรอยู่บนยอดเจดีย์เซี่ยงฮู้  ขณะนั้น ประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพยายามหาทางนำท่านลงมาจากเจดีย์  ( เจดีย์เป็นลักษะทึบตันสูงไม่มีบันไดขึ้น ) จนกระทั่งท่านสังวัธยายพระสูตรจบลง ท่านได้กระโดดลงมา ร่างท่านยืนสงบนิ่งบนพื้นดิน  ใบหน้าท่านผ่องใส  ถึงกาลดับขันธ์ มรณภาพลง  โดยอาการยืนนั้นเป็นที่อัศจรรย์แก่ประชาชรผู้อยู่ในเหตุการณ์  ชาวบ้านในท้องถิ่นจึงได้ร่วมใจกันสร้างสุสานฝังร่างท่าน  ณ บริเวณใกล้กับเจดีย์นั้น   จนกระทั่งถึงในปัจจุบันสุสานของท่าน   และเจดีย์ก็ยังคงอยู่      ประชาชนทั้งหลายต่างขนานนามท่านว่า         “ลิบห่วยผู่สัก”

แปลว่า พระโพธิ์สัตว์ผู้ยืนดับขันธ์  ประชาชนในละแวกนั้นก็ต่างอาศัยบารมีของท่านคุ้มครองอยู่เสมอ  เช่น  หากมีคนเจ็บป่วยมักจะมาสักการะของพรท่าน และนำเอาเม็ดกรวดทอง ( กรวดทองเกิดเองและมีอยู่เสมอจนปัจจุบัน ) นำไปต้มน้ำรับประทาน ยังผลให้หายจากโรคเป็นที่อัศจรรย์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

รูปที่     พระคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร พุทธบริษัทจีนพิเนต  วิเทศธรรมประสาท  นวกิจพิลาสประยุทต์ ทำนุกจีนประชาวิสิฐ ( เย็นเต็ก )

                ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย รูปที่ 

                พระอุปัชฌยะสงฆ์จีนนิกาย

                เจ้าอาวาสวัดโพธิ์แมนคุณาราม

                ประธานคณะกรรมการสงฆ์จีนนิกาย

                ประธานกรรมการมูลนิธิโพธิ์แจ้งมหาเถระ

                รักษาการเจ้าอาวาสวัดหมื่นพุทธเมตตาคุณาราม

               

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

พระอาจารย์กวยล้ง ( กวยหลง )   เป็นศิษย์ของพระอาจารย์สกเห็ง

                เป็นองหนึ่งในบรรดาบูรพาจารย์ผู้ตั้งวัด เป็นศิษย์องค์แรกของท่านพระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร ( สกเห็งเถระ ) เป็นที่รู้จักในหมู่ศาสนิกชนชาวจีน ว่าท่านเป็นผู้ที่ทีความรู้แตกฉานทางด้านพุทธศาสนามหายาน และเป็นผู้ช่วยของท่านสกเห็งเถระ  ซึ่งได้ช่วยเหลือในการสร้างวัดจีนประชาสโมสร ( เล่งฮกยี่ ) จังหวัดฉะเชิงเทรา  โดยได้ออกจารึกบอกบุญแก่บรรดาพุทธบริษัท  ฉะนั้นกล่าวได้ว่า  ท่านได้สร้างคุณงามความดีให้แก่คณะสงฆ์จีนนิกายไม่น้อย  ท่านได้บำเพ็ญตบะเคร่งต่อวินัย  พยายามเผยแผ่ศาสนาอย่างที่สุด เมื่อวัดจีนประชาสโมสรสร้างเสร็จ  ท่านสกเห็งเถระ จึงได้เลือกพระอาจารย์กวยหลง เป็นเจ้าอาวาส  เพราะเห็นว่าเป็นผู้มีปรีชาญาณและบารมี  ในอันเป็นที่พึ่งของบรรดาพุทธบริษัทได้  และท่านก็ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเรียบร้อย  และทำให้วัดนี้เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ

 

พระอาจารย์ตั๊กฮี(ปฐมบูรพาจารยวัดเทพพุทธาราม)  )
                องค์ปฐมบูราพาจารย์วัดเทพพุทธาราม คือ พระอาจารย์ตั๊กฮี  แซ่ลี้  เป็นชาวมณฑลกวางตุ้ง  อำเภอบ้วยโตว  ตำบลกัวเซ็ก  อาชีพเดิมเป็นชาวนา  สกุลของท่านก็เป็นชาวพุทธบริษัทที่เคร่งครัด ท่านเองก็มีอัชฌาศัยใฝ่ในกองบุญ  นิยมสร้างกุศลสาธารณะมีการสร้างสะพานและเก็บทรากศพของคนอนาถา  สวดมนต์เลี้ยงพระเป็นอาจินต์  ท่านได้ถือมังสะวิรัติไม่รับประท่านเนื้อสัตว์ตั้งแต่หนุ่ม ตอนปลายสมัยเช็ง   ท่านได้เดินท่างมาประเทศไทย ได้พำนักอาศัยอยู่ ณ โรงเจตงฮั๊วตั๊งของลัทธิเต๋า ได้ปฏิบัติธรรมตามคติขอโรงเจนั้น  จนได้รับตำแหน่งหัวหน้าคณะ  ต่อมาท่านได้ค้นคว้าศึกษาพระไตรปีฎกจนเห็นสัจธรรมอย่างแท้จริง  จึงลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าคณะ  ออกบวชในสำนักของพระอาจารย์กวยหงอ  ญาติพี่น้องในเมืองไทยจึงส่งข่าวไปแจ้งให้ภริยาของท่านที่เมืองจีนทราบ  ภริยาขอท่านได้เดินทางมาเมืองไทยอ้อนวอนร้องขอนิมนต์ท่านกลับมาตุภูมิ  แม้กลับมาตุภูมิแล้วท่านก็มิได้หวั่นไหวด้วยโลกธรรมใด ๆๆ  ท่านได้ทวีสัลเลขปฏิบัติเพื่อลิ้มนิพานรสยิ่งขึ้น  โดยเข้าไปบำเพ็ญภาวนาในคอกโค  สมามานธุดงค์วัตรต่าง ๆ เพื่อให้สำเร็จเป็นตบะธรรมเผากิเลส  ฝ่ายภริยาก็มักมากวนเนือง ๆ  เช่นจัดหาอาหารมาถวาย  แต่ได้นำชิ้นใส่แทรกเข้ามาด้วย  หวังให้ท่านเลิกมังสะวิรัติ  แต่เวลาฉันท่านก็เลือกเอาชิ้นเนื้อทิ้งไปเสีย บางคร่าวท่านก็ยอมอด  ฉันแต่กากใบชาแทน  ด้วยอานุภาพแห่งสมาธิภาวนาและสัจจะที่แข็งแกร่งของท่าน  ทำให้ท่านมีวรรณะผุดผ่อง  ใครเข้าใกล้ก็ได้อาบรสธรรมของท่านไปด้วย  จนกระทั่งภริยาท่านได้สติกราบขอขมาโทษแล้ว  เลยบำเพ็ญพรตกินเจด้วย  ต่อมาท่านได้เดินทางกลับประเทศไทย  เพื่อบำเพ็ญสมณธรรม  พระอาจารย์กวยหงอเห็นความเคร่งครัดของท่าน  จึงได้มอบหมายให้เป็นผู้แสดงธรรมแก่ประชาชนจีนประจำ ณ สำนักสงฆ์เต็กฮ่วยติ้ง  จังหวัดเพชรบุรี  ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดจีนประชาสโมสร  จังหวัดฉะเชิงเทรา    ที่วัดนี้เอง พระอาจารย์ตั๊กฮี  ได้บวชศิษยานุศิษย์จำนวน  ๓๐ กว่ารูป  มีพระอาจารย์เซี่ยงหงี่   ,   พระอาจารย์เซี่ยงซิว  ,  พระอาจารย์เซี่ยวกี่  เป็นต้น

                พระอาจารย์ตั๊กฮีได้ครองวัดอยู่ระยะหนึ่ง  ก็ออกจาริกแสดงธรรมโปรดประชาชนจีนตามจังหวัดต่าง ๆ  เมื่อเดินทางมาถึงจังหวัดชลบุรี  ชาวจีนในชลบุรีพากันเลื่อมใสในปฏิปทาของท่าน  นิมนต์อารธนาให้ท่านมาอยู่จำพรรษา  มีทายกทายิกาหลายคน  เช่น  นางถั่ว  ,  นายเผือด  ,  นางถมยา  ถวายที่ดินให้ท่านสร้างวัดเทพพุทธารามขึ้น  ท่านจึงมอบให้พระอาจารย์เซี่ยงหงี เป็นเจ้าอาวาสวัดจีนประชาสโมสรต่อไป  อนึ่งวัดเทพพุทธาราม นี้ชาวจีนจะเรียกว่า “เซียนฮุดยี่”  ที่ท่านตั้งชื่อวัดเช่นนี้  ก็เนื่องด้วยหวังให้เป็นอนุสรณ์ว่า  ก่อนเดิมที่จะบวชท่านได้ถือคติลัทธิเต๋ามา    ก็ลัทธิเต๋านั้นย่อมมีอุดมคติเพื่อสำเร็จเป็นเซียน  คือ เทพเจ้า  เมื่อท่านบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว  อุดมคติของพระพุทธศาสนา คือ สำเร็จพระโพธิญาณหลุดพ้นจากภพต่าง ๆ ท่านจึงเอามาผสมกันเรียกว่า                “วัดเทพพุทธาราม”

                ท่านมีความเมตตากรุณาต่อคนยากจนเข็ญใจ  ไร้ที่พึ่ง  โดยได้อนุเคราะห์ให้ได้รับความสุขตามยถาพลัง  บ้างที่เจ็บไข้ท่านก็รักษาให้หาย  คนเหล่านี้บางคนก็ได้ออกบวช  บ้างก็ถวายตัวเป็นศิษย์  เนื่องด้วยความตรากตรำในกิจพระศาสนา โดยมิได้เห็นแก่เหนื่อยยากของท่าน  ประกอบกับความชรา  ต่อมาท่านล้มเจ็บลง  บรรดาศิษยานุศิษย์จึงนิมนต์ให้ท่านไปพักรักษาตัวอยู่    วัดจีนประชาสโมสร  และก่อนหน้าจะถึงกาลมรณะ  ท่านกำหนดรู้เวลาดับขันธ์ของท่าน  และได้ลุกขึ้นนั่งเข้าสมาธิมีสติสัมปชัญญะตั้งอยู่ในอารมณ์ พระกัมมัฏฐานกระทำกาลกิริยาลงด้วยอาการอันสงบ

 

พระอาจารย์เซี่ยงหงี

                พระอาจารย์รูปนี้  เดิมแซ่ตั้ง  เป็นชาวอำเภอบ้วยกุ่ย  มณฑลกวางตุ้ง  เกิดในปี  พ.ศ.๒๔๓๔ อายุ ๑๓ ติดตามมารดามาประเทศไทย  ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์กวยหงอ  อายุ  ๑๔  ได้ออกบรรพชาเป็นสามเณรในนิกายเถรวาท    วัดต้นไทร  จังหวัดฉะเชิงเทรา  ต่อมาปรารถนาจะศึกษาลัทธิมหายาน  จึงถวายตัวเป็นศิษย์ของพระอาจารย์ตั๊กฮี  บรรพชาเป็นสามเณรในนิกายจีน  อายุ  ๒๒  ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในสำนักพระอาจารย์กวยหงอ  แล้วจาริกกลับประเทศจีนเที่ยวสักการะบูชาปูชนียสถานต่าง ๆ เมื่อผ่านวัดเข่งฮุ้นยี มณฑลกวางตุ้ง  ท่านได้ทำทัฬหิกรรมอีกวาระหนึ่ง    วัดนี้  แล้วเที่ยวศึกษาเล่าเรียนตามสำนักต่าง ๆ ในเมืองจีน  ได้รับตำแหน่งหน้าที่ที่เกี่ยวกับกิจของสงฆ์ ณ วัดโพธิ์ท้อซัว มณฑลจิกกัง  วัดป้อฮั้วซัว มณฑลกังโซว  และวัดเกาเมียงยี เป็นอาทิ

อายุ  ๓๕  เดินทางมาประเทศไทยอีก  ได้รับมอบหมายจากพระอาจารย์ตั๊กฮี ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดจีนประชาสโมสร จำเนียรกาลต่อมา  พระคุณท่านพระอาจารย์ฮือฮุ้น  เจ้าอาวาสวัดน่ำฮั้วยี่  มณฑลกวางตุ้ง  ได้ส่งคนมานิมนต์ท่านให้ไปทำหน้าที่อุปัชฌาย์แทน เมื่อ กลับประเทศไทย  ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่พระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร   เจ้าอาวาสวัดมังกรกมลวาส  และพระอุปัชฌาย์จีนนิกาย  เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒  อายุของท่านได้  ๕๔  ในปี พ.ศ.๒๔๙๗  ท่านได้กลับไปบำเพ็ญภาวนา ณ วัดจีนประชาสโมสร  ถึง  พ.ศ.๒๔๙๙  เกิดอาพาธ คณะศิษย์จึงเชิญท่านออกมารักษา    โรงพยาบาลศิริราช  และถึงแก่มรณภาพ ลงวันที่ ๒๗  สิงหาคม พ.ศ.๒๔๙๙  ด้วยอาการอันสงบ สิริชนมายุได้  ๖๑  ปี  พรรษา  ๔๓     

 

พระอาจารย์เซี่ยงซิว

                พระอาจารย์มีนามว่า เซี่ยงซิว  เป็นชาวจังหวัดเกียเอ้ง  มณฑลกวางตุ้ง เดินทางมาค้าขายในประเทศไทยตั้งแต่ยังหนุ่ม  ต่อมาได้พิจารณาเห็นความเป็นอนิจจังของชีวิต จึงเกิดนิพพิทาต่อโลกียวิสัย  ออกจาริกค้นคว้าเล่าเรียนหาทางพ้นทุกข์  ได้พบปะสนทนากับพระอาจารย์สือตั๊กฮี  แล้วได้ศึกษากัมมัฏฐานกับท่านอยู่ระยะหนึ่ง ภายหลังจึงออกจาริกเทศนาสั่งสอนประชาชววหนันด้วยความเมตตากรุณา  อนึ่งยังได้เป็นกำลังช่วยพระอาจารย์ตั๊กฮี ในการสร้างถาวรวัตถุอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม  มีสะพาน  ถนน  เป็นต้น  พระอาจารย์เซี่ยงซิวเป็นผู้เคารพหนังสือยิ่งนัก  ถ้าท่านเห็นเศษกระดาษที่มีตัวหนังสืออยู่ด้วยตามถนนหนทาง  ท่านจะต้องเก็บรวบรวมขึ้นมาไว้  ไม่ให้คนเหยียบย่ำ  คุณธรรมของท่านเป็นที่ปรากฏแก่ชนทั้งหลาย  จนแม้แต่แป๊ะโค้วโพธิสัตว์ซึ่งประดิษฐานอยู่ซินกั้งจนปัจจุบันนี้  ในครั้งกระโน้นได้เล่าเรียนศึกษากัมมัฏฐานจากท่านจนได้สำเร็จฌานสมาบัติ  ปรากฎร่างกายทิพย์ไป  ทั้งนี้  ก็เพราะสมณคุณของพระอาจารย์เซี่ยวซิวอันสูงเป็นอจินไตย  ควรแก่การสรรเสริญทั้งบัดนี้และบัดหน้าโดยแท้

 

 

 

 

พระอาจารย์เซี่ยงกี่

                พระอาจารย์มีฉายาว่า  เซียงเม้ง  มีนิมิตนามว่า  เซี่ยงกี่  แซ่เตีย เป็นชาวจังหวัดเกียเอ้ง  มณฑลกวางตุ้ง  มีความเมตตาเป็นปกตินิสัย  และมีอัชฌาศัยโน้มไปทางสมาธิภาวนา  ได้ออกบวชในสำนักำระอาจารย์ตั๊กฮี ที่วัดจีนประชาสโมสร  เมื่อบวชแล้วได้ขอบาตรและกาสายะของพระอาจารย์ตั๊กฮี มาเป็นสมบัติสมาทานธุดงค์วัตรออกจาริกไปถึงเขาพระบาท  จังหวัดสระบุรี  เข้าไปปฏิบัติโยคะธรรมในถ้ำประทุน  เวลวนั้นบริเวณถ้ำเป็นที่รกด้วยต้นไม้  มีชาวบ้านพักอาศัยอยู่ห่าง ๆ และมีจำนวนน้อย  แต่มีสัตว์ป่าอยู่มาก  ถ้ำที่พระอาจารย์เข้าไปพำนักนั้นมีค้างคาวจำนวนมาก  แต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นมิตร  พระอาจารย์ฉันอาหารเหลือก็มักจะนำไปเลี้ยงดูนกป่า บางคราวก็มีเสือปรากฏให้เห็น แต่ท่านก็นั่งสวดมนต์นิ่งไม่ไหวกาย เสือก็หลบายไป กิตติศัพท์นี้ก็ทำให้ชาวบ้านเลื่อมใสท่าน ชวนกันมาฟังธรรม  พระอาจารย์จึงนำประชาชนสร้างวัดเช็งจุ้ยยี่ ขึ้น   ศิษย์ของท่านที่เป็นช้างเผือกในพระศาสนา อาทิเช่น  พระลิบห่วยฮ่งเล้งเถรเจ้า  และ  พระอาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร ( โพธิ์แจ้ง ) เป็นต้น

 

พระอาจารย์ฮ่งเล้ง

                พระอาจารย์มีนามเดิมว่า ฮ่งเล้ง  แซ่เตีย เป็นชาวจังหวัดเหยี่ยวเพ้ง  มณฑลกวางตุ้ง  มีคุณลักษณะพิเศษมาตั้งแต่เยาว์ชอบบริจาคทานและสวดมนต์  ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ยังเป็นคฤหัสถ์วิสัย  เนื่องด้วยมีอุปนิสัยในพระศาสานาเห็นปานนี้  เมื่อเดินทางมาประเทศไทย  ท่านจึงออกบวชในวัดเช็งจุ้ยยี่  บำเพ็ญเจริญพุทธานุสสติกัมมัฏฐานเป็นอาจิณวัตร  แล้วสมาทานธุดงธ์วัตรตลอดเวลากว่า ๑๐ ปี  ด้วยความวิริยะอุตสาหะอย่างยิ่งยวด ต่อพระอาจารย์ได้จาริกคืนมาตุภูมิ เที่ยวสักการะปูชนีนสถาน สำคัญต่าง ๆ เมื่อมาถึงพระเจดีย์เซี้ยงฮู้  ที่จังหวัดแต้เอี้ย  ท่านทัศนาเห็นปวงทิพย์ชนแผ่ลอยลงมาต้อนรับท่าน ตัวท่านเองในขณะนั้นเข้าสมาธิเกิดปิติตัวลอยขึ้นไปอยู่บนพระเจดีย์นั้น  ท่ามกลางสายตาของประชาชนเป็นจำนวนมาก ท่านได้ทำการสักการะและทักษิณาวัตรพระเจดีย์แล้ว ก็กระโดลงมาจากยอดเจดีย์ลงมาเบื้องล่าง ร่างของท่านเมื่อถึงพื้นดินยืนแน่นิ่งไม่เอนเอียง หันหน้าไปทางทิศตะวันตกถึงแก่กาลดับขันธ์ลง สรีระของท่านตั้งมั่นอยู่เช่นนั้น ๗ วัน ๗ คืน ประชาชนจึงถวายนามท่านว่า       “พระลิบห่วยโพธิสัตว์”  พระอาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร ( โพธิ์แจ้ง )  ได้สำนักสงฆ์ลิบห่วย ( สำนักสงฆ์หลับฟ้า ) เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้แก่พระอาจารย์ฮ่งเล้ง ที่ ตำบลวังใหม่  อำเภอสะพานอ่อน  จังหวัดพระนคร     แต่ปัจจุบันสำนักสงฆ์หลับฟ้า ได้รื้อถอนไปแล้ว และได้ย้ายมาประดิษฐานที่วิหารบูรพาจารย์ วัดโพธิ์แมนคุณาราม  จนถึงปัจจุบัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ลำดับอาจาริยวงศ์ ของคณะสงฆ์จีนนิกายในประเทศไทย

                มีลำดับสืบมาโดยไม่ขาดสาย  หากเรียงตามบูรพาจารย์ที่สืบสายมา  จัดอยู่ในนิกายฌาน ( เซ็น ) สาขาหลินจี้ ( รินชาย )  โดยธรรมเนียมปฏิบัติในประเทศจีน  บูรพาจารย์มักจัดลำดับศิษย์ในแต่ละสาย โดยประพันธ์คำกลอนไว้ให้ศิษย์รุ่นหลัง จะได้ใช้อักษรในคำกลอน เป็นชื่อลำดับรุ่นสืบต่อมาโดยลำดับ

                คณะสงฆ์จีนนิกาย  นับแต่พระอาจารย์สกเห็ง    ใช้ลำดับอาจาริยวงศ์ในนิกายฌาน ในสาขาหลินจี้   โดย

บรูพาจารย์ในอารามโพวจี้  ภูเขาโพวท้อ ,ภูเขาง่อไบ๊  ,ภูเขาโหงวไท้  ร่วมประพันธ์เป็นตัวอักษรจีน  ๓๒ ตัว ดังนี้

                 

ซิม           ง้วง          ก้วง          สก           ปึง           กัก           เชียง        ล้ง

เล่ง          ยิ้ง            เสี่ย          ก้วย         เซี่ยง        อิ้ง            ควน         ฮ้ง

ยุ่ย           ท้วง         หวบ        อิ่ง            เจ่ง          หงอ         หวย         ย้ง

เกียง        ชี้              ไก่           เตี่ย          ย่ง            กี้              โจ้ว          จง

 

ดังพระอาจารย์โพธิ์แจ้งอยู่ในลำดับ “เล่ง” ฉายา “เล่งที้” พระอาจารย์เย็นเต็ก อยู่ในลำดับ “ยิ้ง”             ( ภาษาไทยใช้ว่า “ เย็น” )  และในปัจจุบันสืบทอดถึงลำดับ “เสี่ย”

 

               

               

               

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

พระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์

พระพุทธเจ้าองค์แรกคือ พระธรรมกายสมันตภัทร

พระอาทิพุทธ เป็นพระพุทธเจ้าที่อุบัติมาพร้อมกับโลกองค์แรกและอยู่ชั่วนิรันดร์ เป็นผู้สร้างและเป็นแหล่งกำเนิดของพระพุทธเจ้า  ทั้งหลายทั่วจักรวาล

 

1. พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า

พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า คือ พระโคดมพุทธเจ้าองค์เดียว กับ ที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยทั้งหลายเคารพไหว้บูชา

 

2. พระอมิตาภพุทธเจ้า

ชาวจีนออกพระนามโดยทับศัพท์ว่า “อานีท้อ” พระนามเต็มของพระองค์มีอยู่ 2 พระนาม คือ

1.        อมิตาภะ แปลว่า มีความสว่างอันประมาณมิได้

2.        อมิตายุ แปลว่า มีอายุอันประมาณมิได้

 

3. พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า

ชาวจีนออกพระนามโดยทับศัพท์ “เอี๊ยะซือฮุก“ แปลว่าพระพุทธเจ้าผู้เป็นครูแห่งยารักษาโรค

 

พระโพธิสัตว์

1. พระเมตไตรยโพธิสัตว์ ชาวจีนออกพระนามโดยทับศัพท์ “ เข่ยชื้อ “ หรือ “ เชียงเทงจื้อ “

2. พระมัญชุศรีโพธิสัตว์  ( พระโพธิสัตว์ทรงราชสีห์ )

3. พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ( พระโพธิสัตว์ทรงคชสาร )

4. พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ( กวนอิมพู่สัก )

5. พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ( เจ่งโท้ )

6. พระกษิติครรภโพธสัตว์ ( พระตี่จั๋ง )

7. พระเวทโพธิสัตว์ ( อุ่ยท้อพู่สัก  ,  ไวท้อพู่สัก )

8. แคนำโพธิสัตว์ ( กาลั้ม )  เทพรักษาพระพุทธศาสนา ( เทพเจ้ากวนอู )

                 

ท้าวจตุโลกบาล ( ท้าวจตุมหาราช )

1.     ท้าวธตรฐมหาราช ปกครองทางทิศบูรพา เป็นเจ้าแห่งพวกคนธรรพ์  ( เที้ยว คือ ถูกต้อง ) ถือพิณ

2.     ท้าววิรุฬหกมหาราช ปกครองทางทิศทักษิณ เป็นเจ้าแห่งกุมภัณฑ์  ( โหว คือ ฝน ) ถือร่ม

3.     ท้าววิรุฬปักข์มหาราช ปกครองทางทิศปัจฉิม เป็นเจ้าแห่งพวกนาค  ( ฮวง คือ ลม ) ถือดาบ

4.     ท้าวกุเวรมหาราช ( เวสุวัณ ) ปกครองทางทิศอุดร เป็นเจ้าแห่งพวกยักษ์  ( สุง คือ ราบรื่น )  ถือเจดีย์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ที่พุทธศาสนิกชนชาวจีนนิยมนับถือและบูชา นอกจากพระศากยมุนีพุทธเจ้าแล้ว   ก็มีพระอมิตะ   ซึ่งเชื่อกันว่าจะพาวิญญาณของผู้ที่บูชาไปเกิด      แดนสุขาวดีพุทธเกษตรของพระองค์   นอกจากนี้ก็มีพระไภษัชยคุรุ   ซึ่งเป็นผู้ประทานการรักษาโรคภัยไข้เจ็บและนำพาวิญญาณของพุทธบุตรไปเกิดยังศุทธิไวฑูรย์อันเป็นพุทธเกษตรของพระองค์ท่านเช่นเดียวกัน

                อย่างไรก็ดี   พระโพธิสัตว์ที่ชาวจีนนิยมเคารพนับถือและบูชามากที่สุด   ได้แก่ พระกวนอิม ( อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ )   ซึ่งประทานทุกสิ่งให้แก่ผู้ขอและทั้งกำจัดภัยพิบัติอันตรายทั้งหลายได้พระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งได้แก่   พระกษิติครรภซึ่งมีพระปณิธานทำนองเดียวกับพระกวนอิม

                ตามวัดวาอารามต่างๆ   นอกจากจะประดิษฐานเป็นรูปพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ดังกล่าว   ยังมีที่ประดิษฐานรูปพระเมตไตรโพธิสัตว์  รูปท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่   และรูปท่านแม่ทัพอุยคุงซึ่งเป็นผู้รักษาคุ้มครองอารามและพระภิกษุสงฆ์   อนึ่ง   ถ้าเป็นอารามใหญ่มีจำนวนพระสงฆ์มากกว่า 1000 รูปขึ้นไป   ก็จะมีที่ประดิษฐานบูชาพระมัญชุศรีและพระสมันตภัทรอีกด้วย   ส่วนตามอาคารบ้านเรือนจะบูชาพระกวนอินเป็นส่วนมาก

                เรื่องราวพระพุทธเจ้า   พระโพธิสัตว์    ท้าวจตุโลกบาลและแม่ทัพอุยคุง   เหล่านี้ที่ชาวจีนนิยมเคารพนับถือบูชาน่าจะได้เรียบเรียงขึ้นตีพิมพ์เผยแพร่เพื่อความรู้และเข้าใจที่ถูกต้องเป็นแนวทางสัมมาปฏิบัติสืบไป   คณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทยจึงมอบหมายให้อาจารย์เลียง   เสถียรสต   ช่วยเรียบเรียงขึ้น   โดยอาจารย์ทรงวิทย์   แก้วศรี   ช่วยตรวจทานขัดเกลาสำนวนภาษาไทยให้และเย็นหงวนภิกขุ   เป็นผู้ติดต่อประสานงาน   จัดหาภาพประกอบและดำเนินการจัดพิมพ์สำเร็จเป็นรูปเล่มบริบูรณ์ให้ทันแจกเป็นธรรมบรรณาการในงานทอดกฐินของวัด   และสำนักสงฆ์จีนในประเทศไทย   ทั่วพระราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2522 นี้

                คณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทยขออนุโมทนาและขอบคุณทุกท่านผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้   ทั้งท่านผู้จัดทำและผู้บริจาคทุนทรัพย์   ขอให้ทุก ๆ ท่านจงประสบแต่ความสุขสวัสดิ์โดยทั่วถ้วนตลอดถึงท่านผู้อ่านหนังสือนี้จงทุกประการ เทอญ ฯ

                                                                                คณะสงฆ์จีนนิกายแห่งแรกของประเทศไทย

 

 

พระพุทธเจ้าของมหายาน

 

                พระพุทธศาสนามหายานได้กำหนดจำนวนพระพุทธเจ้าไว้มากมาน  ต่างรวมเรียกพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอย่างเดียวกันว่า  “ตถาคต” มีแดนประทับอยู่แห่งเดียวคือ “พุทธเกษตร” อันเป็นที่ไพโรจน์งดงาม และพระพุทธเจ้าเหล่านี้อุบัติมาจากแหล่งเดียวกัน คือ มาจากพระอาทิพุทธ  และมหายานยังกำหนดไว้ว่า  พระพุทธเจ้าย่อมเป็นตรีกาย คือ มีพระกายสามคือ 1. พระธรรมกาย  2. สัมโภคกาย  3.  นิรมาณกาย   ซึ่ง กายทั้งสามของพระพุทธเจ้าเกิดจากพระพุทธเจ้าประเภท มนุษิพุทธ  คือ พระพุทธเจ้าผู้ปรากฏพระกายเป็นมนุษย์ในยุคหลังสุด ในที่นี้ได้แก่ พระสมณโคดม  ซึ่งหลักตรีกายมาจาก “ลังกาวตารสูตร”

                หลักตรีกายนั้น คือ หลักว่าพระมนุษิพุทธมีพระกายสามเป็นรัตนตรัย  คือ สามประการผลแห่งการนับถือตรีกายนี้ เนื่องมาแต่ทิฐิ  อันว่าด้วยพระอาทิพุทธ ( สยัมภูพุทธเจ้า ) และมนุษิพุทธ 5 พระองค์ โดยนับถือ พระมนุษิพุทธทุกพระองค์  มีพระกายเป็น ๓ หรือมี ๓ ในขณะเดียวกัน  พระกายสามหรือตรีกาย  คือ 

                1. นิรมาณกาย  ตามศัพท์หมายความว่า  พระกายอันเนรมิตเปลี่ยนไปได้ต่าง ๆ คือร่างกายมนุษย์ของพระพุทธเจ้า   ซึ่งปรากฏลักษณะอันแท้จริงให้เห็นอธิบาย   โดยง่าย   คือพระกายเมื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว   เป็นพระกายแห่งความบริสุทธิ์ปราศจากกิเลส   ได้แก่   พระมนุษิพุทธ   เช่น   พระศากยมุนีพุทธเจ้า

                2. ธรรมกาย   ได้แก่ภาวะอันสำคัญของพระพุทธเจ้าคือ   ความรู้แจ้งของพระพุทธเจ้าหมายถึง   พระธยานิพุทธ   ( ฌานิพุทธ )   คือพุทธอันเกิดจากฌานของพระอาทิพุทธ   หรือธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้

                3. สัมโภคกาย   ได้แก่กายแห่งสารเสวยผลตอบแทน   หรือกายแห่งความบันเทิง   คือร่างกายมนุษย์ธรรมดา   อันตกอยู่แห่งภายใต้อำนาจการเกิด  แก่   เจ็บ   ตาย   ได้แก่ พระธยานิโพธิสัตว์ทั้งห้า

                ในตรีกายสูตรของนิกายมหาสังฆิก  แสดงไว้ว่าพระอานนท์เถระทูลถามพระพุทธเจ้าถึงเรื่องของพระองค์  พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอานนท์ว่า ตถาคตมีกายเป็น ๓  คือ ตรีกายตามลักษณะที่เป็นไปได้เท่า ๆ กัน  จะเห็นได้จากพระประธานในโบสถ์ของมหายานมี ๓ องค์  ซึ่งทั้งหมดมิได้หมายถึงพระพุทธเจ้า ๓ องค์  แต่หมายถึง พระมนุษิพุทธ หรือ พระศากมุณีพุทธ พระองค์เดียว  แต่มีพระกาย ๓ คือ นริมาณกาย  ธรรมกาย  สัมโภคกาย  เป็นลักษณะไตรรัตน์ของมหายาน

 

พระพุทธเจ้าองค์แรก

                พระอาทิพุทธ เป็นพระพุทธเจ้าที่อุบัติมาพร้อมกับโลกองค์แรก  และประจำอยู่ชั่วนิรันดร เป็นผู้สร้างและเป็นแหล่งกำเนิดของพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั่วจักรวาล  อรรถกถาจารย์ได้สร้างพระอาทิพุทธขึ้นเพื่อให้แบ่งภาคลงมาปรากฏเป็นพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ เพื่อจะสู่กับมหาพรหมของพราหมณ์  มีประเทศเนปาลโดยพุทธิกายชื่อ ”ไอศวาริก” นับถือเป็นเริ่มแรก  นอกนั้นยังไม่แพร่หลายนัก ในลัทธิลามะเดิมขนานนามว่า “พระธรรมกายสมันตภัทร” พระอาทิพุทธมีศักดิ์หรือพระเทวี หรือธรรมที่ทรงแสดงคู่เคียงเรียกว่า “อาทิธรรม” หรือ “อทิปรัชญา”

พระอาทิพุทธเป็นผู้สร้างมนุษิพุทธ ๕ พระองค์ และ ธยานิพุทธ หรือ ณานิพุทธ ๕ พระองค์

พระอาทิพุทธเป็นผู้สร้างมนุษิพุทธ ๕ พระองค์  คือ

1.     พระทีปังกร

2.     พระกัสสป

3.     พระโคตม 

4.     พระเมตรไตรย

5.     พระไภษัชยคุรุ

                พระมนุษิพุทธ ทั้ ๕ พระองค์นี้  อวตารมาจากพระอาทิพุทธ อุบัติมาจากรูปของมนุษย์ผู้ประเสริฐต่อกาลและประเทศ  แล้วบำเพ็ญเพียรบารมี  ในฐานะเป็นพระโพธิสัตว์ตรัสรู้ซึ่งความจริง  คือ เข้าโพธิญาณต่อจากนั้นทรงได้พระนามว่า “ตถาคต” ไม่มีการเกิดใหม่เป็นการเข้าถึงซึ่งนิพาน  พระมนุษิพุทธทั้ง ๕ พระองค์ คือ

1.     พระทีปังกรพุทธ  คือ พุทธผู้ประทานซึ่งแสงสว่าง  เป็นมนุษิพุทธที่อวตารมาจากพระอาทิพุทธ พระรูปเป็นพุทธลีลาปางประทานอภัย  สีเหลือง  ตรัสรู้  ณ ต้นไม้มหาโพธิ์ มีพระประวัติว่า ในกัลป์อันนับไม่ได้  ในอดีตกาลมีพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งพระนามว่า  อารจิตต์  ประทับในพระมหานครทีปวดี  พระโพธิ์ทีปังกรเสวยพระชาติเป็นเทพบุตรอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต  เมื่อจะมาตรัสรู้ในมนุษย์โลกได้เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระนางสุสีลา อัตรมเหสีแห่งพระมหากษัตริย์พระองค์นั้น

2.     พระกัสสป  ในกัลป์ก่อนพระศากยมุณีพุทธเจ้า  พระกัสสปพุทธมีพระชนมายุอยู่ในมนุษย์โลกถึง ๒๐,๐๐๐ ปี  พระศากยมุณี  คือ  พระโคดมของเรา เป็นศิษย์ของพระพุทธองค์ เป็นพระมนุษิพุทธอีกพระองค์หนึ่ง  ฝ่ายมหายานมีความเชื่อว่า พระกัสสปเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว พระบรมศพถูกฝังไว้ที่ภูเขากุกกุฏปาฐในภาคเหนือของชมพูทวีปใกล้โพธิคยา  จนกว่าจะสมัยเมื่อพระเมตรไตรย์พุทธมาอุบัติเป็นมนุษิพุทธองค์ที่ ๔  ตามตำนานมหายาน แสดงว่าพระเมตรไตรย์จัดเสด็จไปยังภูเขาลูกนั้นเป็นเบื้องแรก  แท่งศิลาตรงที่บรรจุพระบรมศพของพระกัสสปจะแยกออก ณ ที่นัน พระกัสสปจะเสด็จลุกขึ้นประทานกาสาวพัสตร์ เครื่องกรองของพระพุทธเจ้าให้แก่พระเมตรไตรย์ครั้นแล้ว จะมีไฟทิพย์ลุกโพลงขึ้นเผาร่างของพระกัสสปพุทธเจ้า  จึงเชื่อว่าพระองค์จะเสด็จเข้านิพพานในเวลานั้น  ตามแบบพุทธศิลปะของมหายาน  สร้างรูปพระกัสสปพุทธเจ้า  ทรงสิงโตเป็นพาหนะกรองกาสาวพักสตร์

3.     พระโคตมพุทธ  คือ ลักษณะเป็นพระศากยมุณีพุทธในรูปเด็กประทับผืน  พระพัตถ์ขวาชี้ขึ้นสู่ฟ้าเบื้องบน  พระหัตถ์ซ้ายชี้ลงมาสู่พื้นดินเบื้องล่าง พระรูปนี้แสดงว่าภายหลังเสด็จอุบัติออกมาสู่โลกมนุษย์แล้ว  ทันทีนั้นก็ได้ตรัสคำแรกว่า “ครั้งนี้เป็นชาติสุดท้ายของเราแล้ว”พระศากยมุณีพุทธในรูปอันเป็นรูปนั่ง  ท่าทรงทรมานแบบทุกกรกิริยา  มีพระกายสูบผอมเต็มไปด้วยพระมัสสุและพระเกษยาว และอีกลักษณะหนึ่ง คือ พระรูปบางเข้าสู่นิพพารเป็นแบบสีหไสยาสน์  พระหัตถ์ขวาเป็นที่รองพระเศียรและมีรูปพระสาวกนั่งเฝ้าพระศพอยู่ ฝ่ายมหายานแจ้งว่า เป็นรูปพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะทางฝ่ายหินยานว่าพระสาวกทั้งสองนิพานก่อนพระพุทธเจ้า  น่าจะเป็นรูปพระอนิรุทรและพระอานนท์  โคตมพุทธนี้มีเครื่องหมายสำคัญ คือ บาตร

4.     พระเมตรไตรย์พุทธ  ตามคัมภีร์มหายานพระกายสีเหลือง  เครื่องหมายประจำพระองค์เป็นจักร  พระกายมีสายมาลาขาวเหลืองคาด  บนพระเศียรทำรูปทำนองสถูปมีความหมายว่า  พระผู้ทรงเมตตาหรือไมตรี  พุทธศาสนามหายานได้แบ่งเวลาหรือยุค ระหว่างการดับขันธ์ของพระพุทธเจ้า กับการอุบัติของพระเมตรไตรย์ออกเป็น    สมัย  คือ  

1.     สมัยแรก     ๕๐๐  ปี  คือ สมัยที่พระธรรมกำลังแผ่ไพศาลไปด้วยดี

2.     สมัยสอง  ๑,๐๐๐  ปี  คือ สมัยสัทธรรมกำลังปฏิรูป

3.     สมัยสาม  ๓,๐๐๐ ปี  คือ สมัยสัทธรรมได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หรือสมัยเสื่อมสัทธรรม

ภายหลังสมัยที่สามพระเมตรไตรน์จะเสด็จจากสวรรค์ขึ้นสู่ดุสิตมาสู่มนุษย์โลก  เพื่อยังพระธรรมอันบริสุทธิ์ให้เป็นไปอีกครั้งหนึ่ง

5.     พระไภษัชยคุรุพุทธ   พระมนุษิพุทธองค์นี้แต่เดิมมีพระนามภาษาธิเบตว่า  มันลาแปลว่าโอสถวิเศษ  มีความหมายว่าพระพุทธเจ้าผู้เป็นแพทย์วิเศษ  มีการนับถือกันอย่างจริงจังในประเทศจีน – ญี่ปุ่น  พระไกษัชยคุรุพุทธมีพระโพธิสัตว์    พระอง๕ื  คอยเป็นผู้ช่วยรักษาโรคร้ายทั้งทางกายและทางใจให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายที่มีความทุกข์กาย  ทุกข์ใจ

 

                พระอาทิพุทธผู้สร้างธยานิพุทธ  ๕ องค์  คือ  พระไวโรจน์พุทธ  พระอักโษภัย  พระรัตนสัมภาว  พระอมิตภะ  พระอโฒฆสิทธิ

ข. พระอาทิพุทธเจ้าองค์แรก เป็นผู้สร้างพระธยานิพุทธ   5 พระองค์   คือ   1. พระไวโรจน์พุทธ 2. พระอักโษภยพุทธ 3. พระรัตนสัมภวพุทธ 4. พระอมิตภพุทธ 5. พระอโมฆสิทธิ พระธยานิพุทธทั้ง 5 องค์ เป็นอวตารของพระอาทิพุทธ  สำเร็จเป็นพุทธด้วยอำนาจฌานของพระพุทธเจ้าซึ่งทั้งห้าองค์   ประทับอยู่อันสวรรค์ชั้นอรูปธาตุ   โดยลักษณะแห่งพระนามอันบริสุทธิ์สมบูรณ์   แต่โดยที่พระกายอันเป็นรูปตามหลักตรีกาย   ทรงเป็นธรรมกาย   หรือพระกายแห่งการตรัสรู้   พระธรรมของพระพุทธเจ้า   และด้วยอำนาจฌานของพระธยานิพุทธทำให้เกิดพระธยานิพุทธโพธิสัตว์ 5 พระองค์ คือ 1. พระสมันตภัทร 2. พระวัชรปาณีโพธิสัตว์ 3. พระรัตนปาณีโพธิสัตว์ 4. พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ 5. พระวิศวปาณีโพธิสัตว์ ซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้ง 5 พระองค์นั้นตามหลักตรีกายแล้วนับเป็นสัมโภคกาย   คือกายแห่งความบันเทิงคือกายเป็นทิพย์   มีรัศมีรุ่งเรืองที่พระพุทธเจ้าประทานให้เห็นได้

                มหายานได้อธิบายว่า   อำนาจฌานของพระอาทิพุทธ   ได้ก่อให้เกิดธรรมคือ อารมณ์ที่กับมโนคือความรู้แจ้งซึ่งธรรมอันเป็นหมวกหนึ่งในหมวด   อายตนะภายนอกทั้ง 6 หรืออารมณ์ 6 ส่วนอายตนะภายนอกอีก 5 คือ รูป รส กลิ่น เสียง และโผฏฐัพพะเกิดจากฌานของพระธยานิโพธิสัตว์ทั้ง 5 พระองค์ต่อมาเหมือนกัน

                ส่วนธาตุทั้ง 4 คือ ดิน นํ้า ลม ไฟ   และอีกหนึ่งคือ   อากาศอันชุมนุมประกอบเข้าเป็นกายของสรรพสัตว์   เกิดขึ้นโดยอำนาจของพระธยานิพุทธทั้งห้าพระองค์   ส่วนธรรมชาติในตัวคนอีกอย่างหนึ่งที่เรียกตามศัพท์ต่างๆกัน   คือวิญญาณหรือมโน( วิญญาณธาตุ   มโนธาตุ ) นั้นเกิดจากอำนาจของพระอาทิพุทธโดยตรง

                พระธยานิพุทธ   ทั่วไปทำรูปเป็นพระนั่งสมาธิ   ขัดเพชร   พระบาทหงายขึ้นมาบนพระเพลาครองผ้าอังสาข้างขวาปล่อยเปล่า   มีพระอุณาโลมบนพระนลาต   พระกรรณย้อยยาว   พระเกศาม้วนเป็นรูปอุณหิศ   และมักมีรูปเปลวออก 2-3 แฉกพระธยานิพุทธทุกองค์มีศักดิ์   หรือเทวีหรือธรรมที่ทรงแสดงคู่เดียวเรียกว่า “ อาทิธรรม หรือ อิปรัชญา ” พระธยานิพุทธทั้ง 5 องค์คือ

                1. พระไวโรจน์พุทธ   ดมื่อมีการนับถือพระอาทิพุทธ